Photographer: Ponpisut Pejaroen
Stylist: Teeratat Somudomsup
Author: Pacharee Klinchoo
The Perfect Place to Be Myself
ไนท์ – พิสิฏฐ์กร สุธรรมพันธุ์ และนอร์ท – ณพิสิฏฐ์ สุธรรมพันธุ์ เปิดห้องตัวอย่างโครงการ Dusit Residences ใจกลางเมืองต้อนรับทีมงานนิตยสารลอฟฟีเซียล ออมส์ พร้อมเปิดใจบอกเล่าเรื่องราวตัวตน ชีวิต การทำงาน และความสุขในชีวิตที่หาได้ เพียงแค่ตั้งใจมอง



แนะนำตัวหน่อย คุณอยากให้พวกเรารู้จักคุณในแง่มุมไหนบ้าง
นอร์ท: ผมอยากให้ทุกคนรู้จักผมในแบบที่เป็นผมเองเลยครับ ผมเป็นคนร่าเริง ชอบออกกำลังกาย และชอบอ่านหนังสือครับ ผมเลือกเรียนหมอเพราะผมอยากจะช่วยคนที่ด้อยโอกาสครับ เพราะในประเทศไทยอาจจะมีหลายคนที่ไม่ได้มีทรัพยากรมากพอที่จะได้รับการรักษาอย่างถ่องแท้ ผมอยากจะไปช่วยผู้คนครับ
ไนท์: ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าผมเป็นมนุษย์ทำงานคนหนึ่งที่ทำงานหาเงินเดือนเหมือนกับทุกคน ตอนนี้ผมกำลังโฟกัสกับการทำงานของตัวเอง พยายามที่จะหาว่าคุณค่าอะไรในตัวผมที่จะเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรได้บ้าง ตอนนี้ผมก็ดูแลลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมและโรงงานอยู่ครับ
-เพิ่งเริ่มชีวิตการทำงานได้ไม่นาน รู้สึกเลยไหมว่าชอบอาชีพที่ตัวเองทำอยู่
ไนท์: ผมไม่เหมือนกับนอร์ทที่รู้ตัวเลยว่าตัวเองอยากเป็นหมอ ตอนแรกผมเคยคิดอยากเป็นหมอด้วยเหตุผลเดียวกับนอร์ทเลยครับ คืออยากช่วยคน และผมก็ไปเรียนหมออยู่ 4 ปีเลยนะครับ แต่รู้สึกตัวว่าไม่ใช่ เลยกลับมาเมืองไทยและเริ่มค้นหาว่าตัวเองชอบอะไร และก็มาบังเอิญเจอว่าตัวเองชอบสายไฟแนนซ์ ชอบเรื่องเงิน เรื่องตัวเลข อะไรแบบนี้ ก็เลยขยับมาทางนี้น่ะครับ
ตอนนี้กลับมาเริ่มต้นอาชีพของตัวเองกันที่เมืองไทยทั้งคู่แล้ว คิดว่าด้วยไลฟ์สไตล์และธรรมชาติของงานที่ทำ คุณจะเลือกพักแถวไหน
นอร์ท: คงเป็นที่ Dusit Residences นี่ล่ะครับ เพราะผมชอบอยู่กับคนเยอะๆ และได้อยู่ในเมืองด้วย ตอนนี้ก็กำลังจะสอบเข้าเรียนแพทย์ที่จุฬาฯ และชอบออกกำลังกาย สวนลุมฯ ก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง เลยรู้สึกว่าที่นี่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผมมากเลยครับ
ไนท์: ผมให้ความสำคัญกับงานเป็นส่วนใหญ่ และผมกำลังโฟกัสกับเส้นทางอาชีพของตัวเอง เพราะฉะนั้น เวลามองที่พัก ผมก็จะเลือกที่พักที่เหมาะสมกับงานที่ผมทำ โลเคชั่นจึงสำคัญ ถึงแม้ว่างานตอนนี้มันจะ work from anywhere แบบไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน แต่ในวันที่ต้องเข้า มันก็มีปัญหาพอสมควรนะ เพราะบ้านผมอยู่ที่ปากเกร็ด ถ้ามีประชุมเก้าโมงเช้า ต้องตื่นกี่โมง ขับรถเข้าเมืองอีกกี่ชั่วโมง ไม่มีทางเลย ดังนั้นผมจึงเลือก Dusit Residences เพราะโลเคชั่นหนึ่ง ส่วนเรื่องที่สองคือความสะดวกสบาย เพราะผมก็ไม่มีภรรยา ไม่มีลูก ไม่มีคนดูแล เพราะฉะนั้น การได้อยู่ในที่ที่มีคนดูแลเรื่องพวกนี้ให้ผมได้มันก็สะดวกมากกว่าจริงๆ
พูดแบบนี้ไม่ใช่จะโฆษณาอะไรนะ (หัวเราะ) แต่ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่อังกฤษ และต้องอยู่คนเดียว มันเป็นปัญหาชีวิตเลยนะครับ ซักผ้าก็ลืมใส่น้ำยาซักผ้า อบผ้าก็ไม่แห้ง พอผมได้มาคุยเรื่องนี้กับคุณแม่ (ศุภจี สุธรรมพันธุ์) คุณแม่ก็รู้ว่าลูกเป็นคนแบบนี้ เลยแนะนำให้ลองมาดูที่นี่ เพราะมันตอบโจทย์ทุกปัญหาของลูกหมดเลย ผ้าก็ไม่ต้องซัก จานก็ไม่ต้องล้าง ผ้าปูที่นอนก็มีคนเปลี่ยนให้ มีแม่บ้านทำความสะอาดให้ ชีวิตก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วนอกจากทำงานและใช้ชีวิตน่ะครับ ผมก็เลือกอยู่ที่นี่ เท่านั้นเลย
special moment ของพวกคุณคือช่วงไหน
นอร์ท: ตอนจบปริญญาตรีครับ รู้สึกว่าตอนนั้นคือขั้นแรกที่ได้รู้แล้วว่าตัวเองอยากจะทำอะไรต่อไป เพราะตอนแรกที่เริ่มเรียน ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าชีวิตนี้อยากจะทำอะไรกันแน่ แต่พอมาตีโจทย์ได้ช่วงปี 3 – ปี 4 และรู้ตัวว่าตัวเองอยากจะทำอะไรจริงๆ ก็รู้สึกเลยครับว่านั่นคือ special moment ของผม
ไนท์: ของผมจะไม่ใช่ moment แบบนั้นครับ แต่ผมเป็นคนที่ชอบอยู่กับคน ชอบสื่อสารกับคน เพราะฉะนั้น special moment ของผมจะขึ้นอยู่กับคนที่ผมอยู่ด้วยมากกว่า การได้อยู่กับเพื่อน ครอบครัว หรือใครก็ตาม ได้ทำอะไรร่วมกับพวกเขาคือความสุขของผม เพราะฉะนั้น special moment ของผมจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้เลยครับ
ใครคือไอดอลในการใช้ชีวิตของพวกคุณ
นอร์ท: คุณแม่ครับ (ตอบทันที) รู้สึกว่าคุณแม่จัดวางลำดับความสำคัญของปัญหาได้ดี และไม่ค่อยเอาเรื่องงานกับเรื่องครอบครัวมาผสมกัน เวลาอยู่กับครอบครัว ผมไม่เคยมองคุณแม่เป็นผู้บริหารเลยครับ แต่มองว่าเป็นคุณแม่ของผมจริงๆ
ไนท์: ผมก็มีไอดอลเป็นคุณแม่เหมือนกันครับ แต่จะเป็นคนละมุมกับนอร์ท ผมชื่นชมคุณแม่ในเซนส์ที่คุณแม่สามารถหาความสุขได้แม้ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ดีมาก คุณแม่สามารถมองเห็นบางจุดที่คนอื่นมองไม่เห็นได้ สามารถทำให้คนรอบตัวนับถือได้โดยไม่ต้องมาสั่ง หรือมาบอกว่าฉันเป็นเจ้านายคุณ คุณต้องเคารพฉันนะ คุณแม่สามารถจับใจคนในทีมได้ ผมรู้สึกว่าทีมอยากทำงานร่วมกับคุณแม่เพราะมีทิศทางในการทำงานร่วมกัน ไม่ใช่เพราะคุณแม่เป็นเจ้านายและคนอื่นเป็นลูกน้อง นี่เป็นคติในการทำงานของผมมาโดยตลอดเลยนะครับ คือให้ความสำคัญกับ ‘ผู้คน’ ก่อน ไม่ว่าจะเป็นคนในหรือคนนอก เรื่องนี้ผมยกให้คุณแม่เป็นต้นแบบในการทำงานเลยครับ
ในส่วนเรื่องของการใช้ชีวิต คุณแม่ก็เป็นไอดอลของผมเหมือนกันครับ เพราะคุณแม่เป็นคนที่มุ่งมั่นมากๆ ตอนที่ผมกับนอร์ทเรียนอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ต้องแยกกันอยู่กับคุณแม่ แต่เชื่อไหมครับว่า ทุกวันศุกร์กลางคืน คุณแม่จะมาหาพวกเราที่ประเทศสิงคโปร์ ไม่ว่าอาทิตย์นั้นคุณแม่จะอยู่ทวีปไหนบนโลก เพราะคุณแม่สัญญากับพวกเราแล้วว่าจะมาหาพวกเราทุกวันศุกร์ และคุณแม่ก็มาไม่เคยขาดสักอาทิตย์ มันทำให้ผมรู้ว่า ถึงเราจะทำงานหนัก แต่ครอบครัวและคนรอบข้างมันสำคัญกว่านั้น และถ้าเราพยายามที่จะหาเวลาให้กับคนที่สำคัญกับเราจริงๆ เราทำได้แน่ๆ ผมเลยรู้ว่า ชีวิตของเรา เราเลือกได้เองครับว่าเราอยากจะทำอะไร คุณแม่เลยเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตของผมในทุกเรื่องจริงๆ
แล้วคุณสองคนใช้ชีวิตไปถึงจุดที่เทียบเคียงคุณแม่ได้หรือยัง
นอร์ท: ไม่มีทางถึงหรอกครับ ผมเองก็อายุยังน้อย และคุณแม่เองก็คงไม่อยากจะให้ผมไปเปรียบเทียบอะไรกับคุณแม่ เพราะสิ่งที่คุณแม่ทำคือสิ่งที่ทำให้คุณแม่มีความสุข สิ่งที่ผมทำแล้วมีความสุขอาจจะไม่เหมือนคุณแม่ก็ได้ แต่คุณแม่สอนผมบ่อยๆ ก็คือ ขอให้ผมเป็นคนดี และใช้ชีวิตอย่างมีสติครับ
ไนท์: ไม่เคยคิดว่าจะใช้ชีวิตได้เหมือนคุณแม่ และคุณแม่พูดกับผมตลอดอยู่แล้วว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนคุณแม่ ผมมีทางของผมเองอยู่แล้ว คุณแม่ขอให้ผมมีความสุขในสิ่งที่ผมทำเท่านั้นเอง และคุณแม่ก็บอกเสมอว่าความสุขมันอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะมองเห็นมันหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าผมมีความสุขไหม มีครับ แต่ถ้าถามว่าทุกข์ไหม ก็ทุกข์เหมือนกันครับ ผมแค่เลือกที่จะมองความสุขมากกว่าความทุกข์เท่านั้นเอง



Assistant Photographers: Manosit Boonnon / Wiroon Wuttiphongdecha
Assistant Stylist: Kittisak Chullawichit
Make Up: Sirima Khongtong
Hair: Thotsaphon Sirisawat
